"สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ มธ." ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สำนักงานธรรมศาสตร์สัมพันธ์" ตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการจัดตั้งและการแบ่งส่วนงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2559
เทคนิค "ซักเครื่องนอน" ช่วยลดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น


การซักผ้าด้วยน้ำเย็น

การซักผ้าด้วยน้ำเย็นสามารถชะล้างสารก่อภูมิจากไรฝุ่นออกได้เพราะสารก่อภูมิแพ้ดังกล่าว สามารถละลายน้ำได้โดยการซักด้วยน้ำเปล่าจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นออกไปได้ประมาณร้อยละ 85 แต่การซักด้วยน้ำเปล่าฆ่าไรฝุ่นไม่ได้นะคะ คือ ตัวมันไม่ตาย เราเพียงล้างเศษซากต่างๆ และอึของมันออกไปเฉยๆ แต่ตัวไรฝุ่นเป็นๆ ยังเกาะผ้าอยู่ได้ค่ะ

ส่วนการซักผ้าด้วยผงซักฟอกจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นออกได้ดีกว่าการซักด้วยน้ำเปล่าเฉยๆ โดยการซักในน้ำเย็นผสมผงซักฟอก 5 นาทีที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกได้ร้อยละ 95 แต่ถ้าใส่น้ำยาผ้าขาวลงไปด้วยจะชะล้างสารก่อภูมิแพ้ได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อยแต่ก็อย่าลืมว่า ตัวไรฝุ่นที่ไม่ตาย และยังเกาะแน่นอยู่ในเนื้อผ้านี้ สามารถผลิตสารก่อภูมิแพ้ออกมาใหม่ และจะก่อโรคได้อีกเมื่อนำผ้านั้นกลับมาใช้

มีการศึกษาในต่างประเทศ โดยใช้เครื่องซักผ้าตามบ้านมาทำวิจัยพบว่า ถ้าซักผ้าด้วยน้ำเย็นที่อุณหภูมิปกติ แม้จะใส่ผงซักฟอกธรรมดาหรือเติมน้ำยาซักผ้าขาวไปด้วย ก็ไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ดีไปกว่าการซักด้วยน้ำเปล่า คือ "ชะล้างได้ แต่ฆ่าตัวไรฝุ่นไม่ได้ค่ะ" แต่ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าไม่ยอมซักเลยนะคะ

ปัจจุบันนี้คุณแม่บ้านเริ่มมีตัวช่วยใหม่ คือ มีน้ำยาซักผ้าที่ผสมสารฆ่าไรฝุ่น เมื่อนำมาใช้ซักผ้าจะทำให้ไรฝุ่นตาย แล้วซะล้างหลุดออกไป ได้ผลดี ทำให้สะดวกขึ้นมากค่ะ

การซักผ้าด้วยน้ำร้อน

การซักผ้าในน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 20 นาที จะสามารถฆ่าตัวไรฝุ่นที่มีชีวิต ทั้งไข่ ตัวอ่อน และตัวแก่ได้ แต่ที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสดังกล่าว ไม่สามารถทำลายสภาพสารก่อภูมิแพ้ที่มาจากอึ และเศษซากที่ตายแล้วของไรฝุ่น เพราะบางสารต้องใช้อุณหภูมิสูงถึง 120 องศาเซลเซียส จึงจะทำลายสารก่อภูมิแพ้ให้หมดสภาพได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในกรรมวิธีการซักผ้าต้องมีการล้างน้ำอยู่ด้วย การล้างน้ำนี้เองจะสามารถชะล้างสารก่อภูมิแพ้ (ที่แม้เราทำลายไม่ได้) ทิ้งไปได้ถึงร้อยละ 85 ถ้าไม่ได้ใส่ผงซักฟอก และล้างออกได้ถึงร้อยละ 95 ถ้าใส่ผงซักฟอกลงไปด้วย

การซักผ้าด้วยน้ำร้อนจึง "ฆ่าไรฝุ่นได้ และชะล้างสารก่อภูมิแพ้ได้ด้วย"

แนะนำวิธีการซักผ้า

หากเลือกการซักผ้าในน้ำเย็น ต้องใช้น้ำยาซักผ้าที่ฆ่าไรฝุ่นร่วมด้วย เพื่อทำให้ไรฝุ่นตาย แล้วถูกชะล้างออกไปหากเลือกการซักผ้าในน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ควรระวังข้อผิดพลาดที่พบบ่อยดังนี้ค่ะ

- อุณหภูมิที่เครื่องซักผ้าตั้งไว้ที่ 60 องศาเซลเซียสส่วนใหญ่หมายถึงอุณหภูมิของน้ำตอนที่ผ่านเครื่องทำน้ำร้อนมาใหม่ ๆ ไม่ใช่อุณหภูมิของน้ำในถังขณะซัก ซึ่งมักต่ำลงไปจากความร้อนต้นทาง อุณหภูมิในถังซักจึงอาจต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส ไม่สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นได้ หากอยากรู้ให้แน่ต้องนำเทอร์โมมิเตอร์ไปวัดอุณหภูมิน้ำในถังขณะซักค่ะ (แต่ถ้าเป็นเครื่องซักแบบฝาหน้า ถ้าเปิดฝา น้ำก็ไหลออกมาสิคะ)

- การซักผ้าที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสจะทำให้ตัวไรฝุ่นตายเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นค่ะ เห็นไหมคะ อุณหภูมิต่ำกว่านิดเดียว ผลต่างกันมากเลยค่ะ

- เครื่องซักผ้าไม่ได้มีปุ่ม 60 องศาเซลเซียสให้เลือกทุกยี่ห้อ บางยี่ห้อมีแค่ 40 องศาเซลเซียสเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอกับการฆ่าตัวไรฝุ่น

โดยคุณ : oOfonOo เมื่อ 12 ก.ค. 2554 : 09:40:56  

ความเห็นที่ 1

อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ บ้านที่ไม่มีเครื่องซักผ้าแบบมีน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส แต่อยากเลือกวิธีซักน้ำร้อน ให้ปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1. นำผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนใส่กะละมัง (ควรเป็นแบบเคลือบ ไม่ควรกะละมังพลาสติก เดี๋ยวจะละลายค่ะ)

2. เทน้ำร้อนที่ต้มเดือด 100 องศาเซลเซียส ราดลงไปให้ท่วม แช่ทิ้งไว้จนกว่าจะเย็น เราก็จะได้น้ำอุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียส นานเกิน 20 นาที

3. พอน้ำเย็นแล้วให้ขยี้ผ้า แล้วเทน้ำทิ้งไป จะได้เทตัวไรฝุ่น ทั้งตัวอ่อน ตัวแก่ ไข่ที่ตายแล้ว และเศษโปรตีนต่างๆ ทิ้งไปกับน้ำ

4. ซักผ้าต่อด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก ตามด้วยการล้างน้ำ 2-3 ครั้ง ซึ่งช่วงหลังนี้จะซักด้วยมือ หรือด้วยเครื่องซักผ้าก็ตามสะดวกค่ะ

ทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการฆ่าไรฝุ่นให้ตายสนิทด้วยวิธีราดน้ำเดือดและแช่น้ำร้อน ตามด้วยการชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกขณะที่ซักน้ำเย็นผสมผงซักฟอก ครบขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์เลยค่ะ

ทางเลือกอื่นๆ และผลที่ได้

ถ้าวิธีที่แนะนำมายังไม่สะดวก ลองดูวิธีอื่นๆ นะคะ

1. ซักผ้าด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก + ตากแดด + รีด

ซักผ้าด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอกธรรมดา เพื่อชะล้างเอาสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นออกก่อน แล้วตากแดดให้แห้ง จากนั้นนำผ้ามารีดด้วยเตารีด ตัวไรฝุ่นที่เกาะอยู่กับผ้าจะตายด้วยความร้อนจากเตารีด แต่ซากของมันยังค้างอยู่นะคะ เพราะไม่มีการล้างออกอีกครั้ง ดังนั้น ให้สะบัดๆ อีกนิดหน่อย เผื่อมันจะหลุดออกไปบ้าง

2. รีด + ซักผ้าด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก

นำผ้ามารีดด้วยเตารีดก่อนเพื่อให้ตัวไรฝุ่นตาย แล้วค่อยนำไปซักกับผงซักฟอก เพื่อชะล้างเอาตัวที่ตายแล้ว และสารก่อภูมิแพ้ออกไปให้หมด ซึ่งน่าจะเป็นการจำกัดไรฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีที่ 1 แต่อาจฝืนความรู้สึกคนทั่วไปที่ต้องนำผ้าไปรีดก่อนซัก แต่ถ้ารีดแล้วไม่นำไปซัก แบบนี้ตัวไรฝุ่นตายจริง แต่สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นยังคงตกค้างอยู่บนผ้า ก่อให้เกิดโรคได้ต่อไป

3. ซักด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก + เครื่องอบผ้า

สำหรับบ้านที่มีเครื่องอบผ้าอยู่แล้ว การนำผ้าที่ซักด้วยผงซักฟอกแล้วมาอบในเครื่องอบผ้าที่อุณหภูมิสูงกว่า 60 องศา นานเกิน 20 นาทีนั้นก็ได้ผลดีพอสมควร ยิ่งถ้าทำประจำทุก 2 สัปดาห์จะยิ่งได้ผลดีใช้ได้เลยค่ะ เพราะซากไรฝุ่นที่ตายตอนใช้เครื่องอบผ้าคราวก่อน เมื่อเรานำผ้านั้นไปซักครั้งต่อไป การซักจะชะล้างซากต่างๆ ที่ติดอยู่ออกไป หากทำบ่อยๆ (เช่น ทุก 2 สัปดาห์) ร่วมกับการหุ้มที่นอนด้วยผ้ากันไรฝุ่นที่มีประสิทธิภาพด้วยแล้ว ไรฝุ่นจะเกิดขึ้นใหม่ไม่ทันค่ะ

4. อบผ้าก่อน + ซักด้วยน้ำเย็นผสมผงซักฟอก + อบผ้าซ้ำอีกครั้ง

ถ้าจะให้ดีกว่าวิธีที่ 3 ต้องอบผ้าก่อน เพื่อใช้ความร้อนฆ่าตัวไรฝุ่นให้ตายแล้วค่อยนำไปซักกับผงซักฟอก แล้วกลับมาอบอีกที แต่ก็ดูยุ่งยากวุ่นวายเหมือนกัน

5. อบผ้าโดยไม่ซัก

นำผ้า หรือผ้านวมมาเข้าเครื่องอบเฉยๆ โดยไม่ซัก ถึงตัวไรฝุ่นจะตายแต่ก็ไม่ลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นนะคะ คือตัวตาย แต่สารก่อภูมิแพ้ยังอยู่ค่ะ เพราะไม่ได้ถูกชะล้างออกไป วิธีนี้ไม่อยากให้ทำค่ะ

6. การซักแห้ง

ถึงจะฆ่าตัวไรฝุ่นได้ แต่ไม่ลดปริมาณโปรตีนจากไรฝุ่นลงได้ ถือว่าไม่มีประโยชน์ค่ะ

7. ซักผ้าด้วยน้ำเย็นร่วมกับน้ำยาซักผ้าที่ใส่สารฆ่าไรฝุ่น

วิธีนี้ง่าย และได้ผลดีค่ะ



โดย oOfonOo [ 12 ก.ค. 2554 : 09:43:09 ]

ความเห็นที่ 2
ความถี่ของการซักเครื่องนอน

ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ควรซักทุก 2 สัปดาห์

ผ้ากันไรฝุ่น ควรซักเดือนละ 1 ครั้ง

มุ้ง ควรซักทุก 2 - 4 สัปดาห์ค่ะ

เห็นได้ว่า การซักเครื่องนอน เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มของทุกคนในบ้าน ควรซัก และดูแลอย่างถูกวิธีด้วย โดยเฉพาะคนที่ป่วยภูมิแพ้ ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษครับ

โดย oOfonOo [ 12 ก.ค. 2554 : 09:43:22 ]

Member
205 ศิษย์เก่า และ 54 บุคคลทั่วไป