
ปัจจุบันพบว่ามีผู้หญิงหลายคนมีอาการผื่นผิวหนังอักเสบรอบปาก หรือที่เรียกว่า "เพอริออรัล เดอร์มาไทติส" (perioral dermatitis) หรือ "พีโอดี" (POD) แม้ว่าโรคนี้จะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็มักเป็นเรื้อรังและส่งผลเสียต่อจิตใจและอารมณ์ได้
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดโรคผิวหนังอธิบายว่า โรคผื่นผิวหนังอักเสบรอบปาก หรือ "พีโอดี" พบบ่อยในเพศหญิงอายุ 20-45ปี โดยพบราว 90% ของผู้ป่วยโรคนี้ แต่ก็มีแนวโน้มจะพบในเพศชายมากขึ้นเพราะผู้ชายใช้เครื่องสำอางกันมากขึ้น
ผู้ป่วยมักมีอาการแสบร้อนและตึงๆ ผิว พบอาการคันได้น้อย พบบ่อยว่ามีการทายาสเตียรอยด์มาก่อน บางคนมีประวัติใช้เครื่องสำอาง หรือยาสีฟันผสมฟลูออไรด์
"พีโอดี" มักเป็นเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจเกิดความอายเพราะผื่นที่ใบหน้าแลดูไม่น่าดู ลักษณะเป็นผื่นผิวหนังอักเสบรอบปาก มีตุ่มแดง และตุ่มหนองร่วมด้วย มีโรคผิวหนังอีกชนิดที่อาจดูคล้าย "พีโอดี" คือโรคผิวหนังอักเสบจากการชอบเลียริมฝีปาก เกิดจากการระคายเคืองจากการเปียกชื้นน้ำลาย มีลักษณะเป็นผื่นแดง ลอกเป็นขุย หรือมีสะเก็ดรอบริมฝีปาก โดยเป็นเฉพาะบริเวณผิวหนังที่สามารถถูกลิ้นสัมผัสได้ บางรายผื่นมีสีแดงจัดเหมือนทาลิปสติกจนเปื้อนรอบปากคล้ายตัวตลกชื่อโบโซ่ โรคนี้อาจเรียกว่า "เพอริออรัล เอ็กซิม่า" (perioral eczema) หรือ "พีโออี" (POE) ซึ่งต้องแยกจากโรค "พีโอดี"
กล่าวคือ "พีโออี" มีลักษณะเป็นผิวหนังอักเสบแดงลอกที่ส่วนใหญ่พบในเด็ก พบบ่อยในผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ ผู้ที่ชอบเลียปากและดูดนิ้วหัวแม่มือ และในผู้ที่รับประทานยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ แต่ "พีโอดี" จะมีลักษณะเป็นตุ่มแดงตุ่มหนองคล้ายสิวมักพบในสตรีวัยผู้ใหญ่ตอนต้น
การรักษา "พีโอดี" มีการใช้ยาต้านการอักเสบทั้งในรูปยาทาและยากิน ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทำให้หลอดเลือดในชั้นหนังแท้ขยายตัว เช่น แอลกอฮอล์ และอาหารที่ร้อนจัด ในรายที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจให้ยารักษาสิวชนิดกิน อาจพิจารณาเลือกใช้ยาทาตามความเหมาะสม และให้ ผู้ป่วยหยุดยาทาและเครื่องสำอางทุกชนิด เพื่อกำจัดปัจจัยที่เป็นสาเหตุกระตุ้น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่พร้อมจะปฏิบัติตาม มักได้ผลในผู้ป่วยที่โรคเกิดจากการทาสเตียรอยด์หรือแพ้เครื่องสำอาง แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเพราะผู้ป่วยคาดหวังว่าจะได้รับยาจากแพทย์และมีผลการรักษาที่เร็ว ผู้ป่วยทุกรายเมื่อรับการรักษาช่วงแรกอาการอาจเลวลง โดยเฉพาะในรายที่เคยใช้ยาทาสเตียรอยด์มาก่อน
แม้ว่า "พีโอดี" จะไม่ร้ายแรง และเป็นแค่ที่ผิวหนัง แต่ผู้ป่วยมักมีปัญหาทางจิตใจเพราะผื่นของโรคไม่น่าดู และการรักษามักกินเวลานาน ในการรักษาช่วงแรกโรคมักกำเริบ ผู้ป่วยควรใจเย็นไม่วิตกกังวลมากเกินควร ในผู้ป่วยกลุ่มเด็ก และสตรีมีครรภ์ควร ใช้แค่ยาทา ห้ามใช้ในรูปยากินเพราะอาจมีข้อแทรกซ้อนจากยา
โดยคุณ : oOfonOo เมื่อ 29 มี.ค. 2554 : 09:02:01