อีกประเด็นหนึ่งที่จะกล่าวถึงคือ อนาคตของวิธีการรักษาโรคเกาต์ ในปัจจุบันการรักษาโรคเกาต์ใช้ยาที่ใช้กันมานาน เช่น ยาคอลไชซิน (colchicine) หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาอินโดเมธาซิน (indomethacin) เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ อาการปวดข้อ ในเวลาที่มีข้ออักเสบรุนแรง ตามมาด้วยยาลดกรดยูริก เช่นยาที่ลดการสร้างกรดยูริก เช่น ยาอัลโลพิวรินอล (allopurinol) หรือยาเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ เช่น ยา sulfinpyrazone, ยา benzbromarone ยา probenecid, เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 6 มก./ดล. เอาไว้ตลอด ขนาดของยาที่ให้ก็จะถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายที่มีระดับกรดยูริกสูงต่ำไม่เท่ากัน ในอนาคตการรักษาโรคเกาต์จะมียาใหม่ ๆ ที่ออกฤทธิ์ตรงกับกลไกการเกิดโรคมากขึ้น เช่น มีเอนไซม์ยูริเคส (uricase) มาฉีดเพื่อลดระดับกรดยูริกให้เป็นปกติ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาที่มีอยู่แล้วยังไม่ได้ผล มียาลดกรดยูริกตัวใหม่ ๆ ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าของเดิม เช่นยา flebuxostat มีโอกาสเกิดการแพ้ยาน้อยกว่าเดิม มียาชีวภาพที่จะออกฤทธิ์ยับยั้งกลไกการเกิดการอักเสบที่เกิดขึ้นในโรคเกาต์โดยตรง เช่น ยาต่อต้านสาร inflammasome เป็นต้น ซึ่งยาชีวภาพเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาผลการใช้ทางคลินิกในผู้ป่วยโรคเกาต์จริง ๆ อยู่
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอนาคตของการรักษาโรคเกาต์สดใสแน่ เพราะจะมีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุด การรักษาโรคเกาต์จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ผู้ป่วยโรคเกาต์เองปฏิบัติตัวถูกต้องหรือไม่เพียงใด
อนาคต จะสดใส ใครกำหนด
อยู่ที่งด อดสุรา และอาหาร
ข้อไม่ปวด ต้องกวดขัน กันพิการ
ไม่ทรมาน เพราะคุมได้ ใต้ 6 เอย
โดย oOfonOo [ 22 มี.ค. 2554 : 010:19:34 ]