
สำหรับวัยทำงานที่ต้องเร่งรีบกับภารกิจที่รัดตัวตลอดทั้งวัน ยุ่งอยู่กับงานจนละเลยเรื่องการกิน กินอาหารไม่ตรงเวลาบ้าง กินอาหารตามสไตล์ตะวันตกบ่อยๆ บ้าง จนหลายคนมีอาการเหมือนมีน้ำย่อยขมๆ ไหลย้อนมาที่คอ ท้องอืด แน่นท้องหรือรู้สึกมีก้อนที่คอหลังอาหารมื้อหลัก มักจะคลื่นไส้อาเจียน รู้ไหม!! อาการเหล่านี้ก็อันตรายต่อสุขภาพคุณ เพราะมันเป็นสัญญาณเตือนของภัยเงียบอย่าง "โรคกรดไหลย้อน" ซึ่งเฮลตี้คลินิกวันนี้ขอนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจของภัยจากกรดไหลย้อนมาฝาก ดังนี้
โดย รศ.พ.ญ.วโรชา มหาชัย หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เผยว่า โรคกรดไหลย้อนไม่ได้เป็นโรคแปลกใหม่สำหรับคนไทย เป็นโรคที่พบมานานแล้ว สาเหตุของโรคเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ หลอดอาหารส่วนปลายมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ หรือความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดลงต่ำกว่าในคนปกติ หรือเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร รวมถึงพันธุกรรมอีกด้วย
ส่วนเหตุสำคัญที่ทำให้คนเราเป็นโรคนี้คือ พฤติกรรมการบริโภคที่หันไปใช้ชีวิตแบบชาวตะวันตก ตื่นเช้ามาก็เร่งรีบไปทำงาน ไม่ค่อยกินข้าว กินแต่กาแฟ แถมยังชอบกินอาหารเย็นหนักๆ แล้วก็นอน อาหารจึงยังตกค้างอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ต้องหลั่งกรดออกมาย่อยอาหารที่ยังตกค้างอยู่ ประกอบกับท่านอนไม่ถูกต้อง หัวเสมอหรือต่ำกว่าลำตัว ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ เกิดอาการแสบระคายเคืองขึ้นมาบนคอและถ้าปล่อยให้หลอดอาหารส่วนปลายระคายเคืองไปนานๆ อาจทำให้หลอดอาหารเป็นมะเร็งได้
ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิตเหมือนโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ แต่เป็นโรคที่สร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงานลดลงได้ ซึ่งจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่แล้วลามขึ้นมาที่หน้าอกหรือคอ และในบางราย อาจมีอาการแสดงออกนอกหลอดอาหารได้ เช่น อาการทางปอด หรืออาการทางคอและกล่องเสียง เสียงแหบเรื้อรัง มีไอเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรือในบางราย อาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ โรคนี้จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร จึงทำให้คนส่วนใหญ่มักจะเหมารวมว่า ตนเองอาจจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร และไปซื้อยาเคลือบแผลในกระเพาะอาหารมารับประทานเอง ทำให้การรักษาไม่ตรงจุด โดยเฉพาะคนไทยเรามักจะชอบซื้อยามารับประทานเองและคิดว่าการไปพบแพทย์เป็นเรื่องใหญ่ ระยะหลังมานี้จึงพบโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่คนไทย
ส่วนเรื่องการวินิจฉัยโรคนั้น โดยปกติแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากอาการดังกล่าวมา หากเป็นแพทย์สามารถให้การรักษาเบื้องต้นได้ โดยจะติดตามดูอาการของผู้ป่วย ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ส่องกล้องทางเดินอาหาร ตรวจทางรังสีวิทยา การตรวจวัดการบีบตัวของหลอดอาหาร และการตรวจวัดความเป็นกรด-ด่างในหลอดอาหาร ซึ่งพบว่าได้ผลแม่นยำและดีที่สุดในปัจจุบัน
โดยคุณ : oOfonOo เมื่อ 15 มี.ค. 2554 : 09:13:32