โรคเกาต์ เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากการมีกรดยูริคในเลือดสูงกว่าปกติจนไปสะสมในข้อทำให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันของข้อขึ้น ที่มาของโรคเกาต์ เกิดจากขบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ทำให้เอนไซม์ชื่อยูริเคส (uricase) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดยูริคที่ร่างกายผลิตขึ้นไปเป็นสารอัลลันโตอิน (allantoin) ที่ละลายน้ำได้ดีกว่า หายไปจากร่างกายของคนเรา พอขาดเอนไซม์ยูริเคส มนุษย์เราจึงมีระดับกรดยูริคในเลือดเพิ่มมากขึ้น เมื่อมีระดับกรดยูริคในเลือดสูงมากนานเป็น 5 ปี 10 ปี ก็เกิดเป็นโรคเกาต์ขึ้น คือมีอาการข้อบวม ปวดข้อเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันบริเวณข้อนิ้วโป้งเท้า หรือข้อเท้า ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง ทรมานมาก แต่ก็จะบรรเทาหรือหายไปเองภายใน 2-3 วัน แล้ววันดีคืนร้ายถ้าไปรับประทานอาหารบางอย่างที่มีกรดยูริคสูง เช่น เป็ด ไก่ เครื่องใน หรือดื่มเหล้า ก็จะมีอาการปวดตามข้อขึ้นมาอีก ถ้าเป็นบ่อยๆ ครั้ง ก็จะกลายเป็นโรคเกาต์เรื้อรัง หรือมีการสะสมของกรดยูริคตามร่างกายเป็นก้อนกรดยูริคที่เรียกโทพัส (tophus) เป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำใต้ผิวหนัง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ถึงแม้ไม่เจ็บ แต่จะดูน่าเกลียด
อนาคตของโรคเกาต์อาจกล่าวได้เป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรกคืออนาคตของผู้ที่เป็นโรคเกาต์ ถึงแม้โรคเกาต์จะเป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่ยุคอารยธรรมอียิปต์ กรีก โรมัน แต่เพิ่งจะเมื่อไม่นานมานี้ที่มีการศึกษาเรื่องโรคเกาต์จนพบว่า ผู้ที่เป็นโรคเกาต์นอกจากจะมีอาการปวดบวมข้อรุนแรง เป็นครั้งๆ แล้ว ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้รักษาหรือพยายามควบคุมระดับกรดยูริคในเลือดให้เป็นปกติคือน้อยกว่า 6 มก./ดล.แล้ว ผู้ป่วยจะเริ่มมีไตเสื่อม หรือถึงขนาดไตวาย เนื่องจากกรดยูริคที่ไปสะสมที่ไต พอไตเริ่มเสื่อม ผู้ป่วยจะเริ่มมีความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งความดันโลหิตที่สูงขึ้นนี้ก็ช่วยทำให้ไตเสื่อมหรือไตวายเร็วขึ้นอีก เมื่อผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงขึ้นสักระยะหนึ่ง ปัญหาที่ตามมาคือโรคหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจล้มเหลว
นอกจากนี้ยังมีปัญหาของโรคอัมพาต จากความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ อาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก ตีบหรือตัน ทำให้มีเลือดออกในสมองหรือสมองบางส่วนขาดเลือดไปเลี้ยงทำให้เป็นอัมพาต นั่นคืออนาคตของผู้ป่วยโรคเกาต์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมระดับกรดยูริคในเลือดให้เป็นปกติ ทำให้นอกจากจะได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานจากข้ออักเสบเฉียบพลันแล้ว ยังจะเป็นโรคไตเสื่อม ไตวายต้องล้างไต เป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องรับประทานยาลดความดันโลหิตตลอดชีวิต เป็นโรคหัวใจ หรืออัมพาต กลายเป็นคนพิการ เป็นภาระต่อครอบครัวและสังคมอีก
ในปัจจุบันมีการมองโรคเกาต์เหมือนเป็นโรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูง คือต้องมีการติดตามผู้ป่วยโรคเกาต์ มีการรักษาอย่างต่อเนื่อง มีการเจาะเลือดตรวจระดับกรดยูริคเป็นระยะทุก 3 เดือน 6 เดือน และพยายามควบคุมกรดยูริคในเลือดให้มีระดับต่ำกว่า 6 มก./ดล. ตลอดเวลา จะด้วยการรับประทานยา คุมอาหาร หรือการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เช่นรับประทานน้ำเปล่ามากๆ มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริคสูงๆ เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ และที่สำคัญเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเหล้า เบียร์ ถ้าปฏิบัติได้อย่างนี้แล้วก็จะสามารถป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วได้
โดยคุณ : oOfonOo เมื่อ 10 มี.ค. 2554 : 08:51:15