"สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ มธ." ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สำนักงานธรรมศาสตร์สัมพันธ์" ตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการจัดตั้งและการแบ่งส่วนงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2559
ภัยเงียบของคนทำงาน



เหนื่อยล้า เพลียทั้งกายและใจ เหมือนแบตเตอรี่หมด เป็นเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำ แทบไม่มีเวลาสนุกสนานกับชีวิต นี่คืออาการของคนทำงานโอเวอร์ เป็นที่มาของโรคเบิร์น เอ้าท์ ซินโดรม (Burn-Out Syndrome)

Burn-Out หมายถึง การทำงานหนักเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับการพักผ่อน จนเกิดอาการสมองไม่แล่น ความจำไม่ดี อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอนไม่หลับ ทำงานจนหมดพลัง เฮอร์เบิร์ต เจ ฟลอยเดนเบอร์เกอร์ นักจิตเวชชาวอเมริกัน นำชื่อ Burn out มาใช้ในการรักษาทางจิตเวช เมื่อปี ค.ศ.1974คือโรคจิตทางหนึ่งซึ่งมักเกิดกับคนที่ตั้งความหวังไว้สูงเกี่ยวกับตัวเอง และต้องการความเพอร์เฟกต์ จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางร่างกายและจิตใจ

สัญญาณเตือนคือ หมดพลัง หมดความกระตือรือร้น เฉื่อยชา บางคนเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ความจำแย่ลง ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย ร่างกายอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยมีแรง นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ประสาทเครียด ความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อสูง ซึ่งส่วนมากคนที่เป็นโรคเบิร์นเอ้าท์ ก็มักหาทางออกปลอบจิตตัวเองด้วยการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป กินยานอนหลับ กินอาหารมากเกินไป และสูบบุหรี่มากเกินไป

ควรทำงานแล้วพัก เช่น ทำงาน 1ชั่วโมง ควรใช้สมอง 45นาที แล้วพัก 10-15นาที สมองจะได้ขจัดเมตาบอลิซึมของเสียต่างๆ ออกไป หมุนเวียนเอาวัตถุดิบใหม่เข้ามา ควรหมุนเวียนเช่นนี้ทุกๆ ชั่วโมง หากปล่อยให้มีอาการไปเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดโรคที่เป็นไปได้มากกว่า 100โรค สุดท้ายก่อให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคเกี่ยวกับหู โรคหัวใจ หรืออัมพฤกษ์ อัมพาต

จะรู้ได้อย่างไรว่าเริ่มเป็นโรคเบิร์นเอ้าท์แล้ว รู้ด้วยการทำงานไม่เหมือนเดิม สมาธิในการทำงานและความตั้งใจในการทำงานต่างๆ ลดลง มีอาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น ความจำไม่ดี นอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งต้องมีสาเหตุมาจากการทำงานที่โอเวอร์เกินไป ไม่ได้หมายถึงสาเหตุอื่นๆผู้หญิงไทยน่าเสี่ยงกับการเป็นโรคเบิร์นเอ้าท์ซินโดรม เพราะต้องทำงานในบ้านและนอกบ้านวันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด

คนไทยมักมีอาการเบิร์นเอ้าท์โดยไม่รู้ตัว สังคมและวัฒนธรรมไทยมีส่วนทำให้ผู้หญิงต้องยอมรับ ต้องเงียบๆ หัวอ่อน ไม่มีปากเสียง โอกาสจะเข้าข่ายเป็นเบิร์น เอ้าท์ ซินโดรมก็จะสูง การที่ผู้หญิงต้องแบกภาระมากมายก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงเป็นโรคจิต โรคเครียด โรคประสาท มากกว่าเพศชาย มักเป็นกับคนวัยทำงาน และกับวัฒนธรรมการทำงาน

การรักษา

ให้ความสมดุลจิตใจ ตรึกตรองว่าตัวเองได้พลังมาจากไหน แล้วจะใช้พลังเพื่ออะไรบ้าง คุณภาพชีวิตของเราเป็นอย่างไร ระหว่าง 0 (แย่มาก) -10 (ดีมาก) ปัจจัยก่อให้เกิดความเครียดแล้ว จะหลีกเลี่ยงความความเครียดได้อย่างไร ใช้จ่ายเงินอย่างไร จุดมุ่งหมายคือ การมีความสุขในชีวิตมากขึ้น ควรใส่ใจกับสุขภาพร่างกายและจิตใจของตัวเอง ข้อแนะนำคือ การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง เช่น จ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน โยคะ

ข้อแนะนำ

การทำงานและการพักผ่อนควรได้สัดส่วนที่พอดีแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน บางคนใช้เวลาทำงานไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลในการจัดความสำคัญของงานว่างานใดควรทำก่อน ทำหลัง หากจัดสรรเวลาได้ดี ควรมีกิจกรรมคลายเครียด ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง คนไทยมักปฏิเสธไม่เป็น ถ้ารู้จักปฏิเสธก็จะไม่เกิดอาการเบิร์นเอ้าท์หรือเกิดช้า



โดยคุณ : oOfonOo เมื่อ 1 ก.พ. 2554 : 010:21:23  

Member
205 ศิษย์เก่า และ 54 บุคคลทั่วไป