"สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ มธ." ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สำนักงานธรรมศาสตร์สัมพันธ์" ตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการจัดตั้งและการแบ่งส่วนงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2559
การใช้ยาระบายกับอาการท้องผูก


ภาวะท้องผูกอาจเกิดจากความผิดปกติทางกายหรือโรคทางลำไส้ เช่น รูทวาร ไขสันหลังมีความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการถ่าย การอุดตันของลำไส้ มะเร็งลำไส้หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายความกังวล ยารักษาโรคจิตและอาการซึมเศร้า เป็นต้น ส่วนใหญ่ภาวะท้องผูกเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุทางกายพบบ่อยในผู้ที่รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อยหรือไม่ชอบรับประทานผัก ผลไม้ หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมถึงผู้ที่ชอบกลั้นอุจจาระบ่อยๆ

การรักษาอาการท้องผูกทำได้ 2 วิธีคือ การรักษาโดยการใช้ยา และการรักษาโดยไม่ใช้ยา แต่วิธีที่ดีกว่าคือการไม่ใช้ยาแต่อาจจะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่ภาวะท้องผูกไม่รุนแรง ข้อแนะนำคือหันมารับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ ได้แก่ ผักผลไม้ ตัวอย่างเช่น ผักคะน้า ผักกวางตุ้งผักโขม ข้าวกล้อง พรุน ส้ม มะละกอ เป็นต้น ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา โดยอาจเป็นช่วงเช้า หรือช่วงเย็นก็ได้ เพื่อให้ลำไส้เกิดความเคยชินกับการขับถ่ายเป็นเวลา

ส่วนการรักษาอาการท้องผูกโดยการใช้ยาระบาย คนส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมการใช้ยาระบายมากเกินความจำเป็น บางคนเมื่อเกิดภาวะท้องผูกทีไรก็จะกินยาระบายทันทีหรือผู้หญิงบางคนกินยาระบายเพื่อลดน้ำหนักซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ควรใช้ยาระบายเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน1 สัปดาห์ โดยเฉพาะยากลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดยาและการเกิดกลุ่มอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ซึ่งจะทำให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ลดลงมากกว่าปกติระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ หากเกิดภาวะท้องผูกและมีความจำเป็นต้องใช้ยาระบายควรเลือกชนิดของยาระบายให้เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ



โดยคุณ : oOfonOo เมื่อ 31 ม.ค. 2554 : 11:47:24  

ความเห็นที่ 1
รูปแบบของยาระบายมีอะไรบ้าง

ยารับประทาน อาจเป็นยาเม็ด เช่น ยาเม็ดไบซาโคดิล ยาเม็ดมะขามแขก ก็ต้องกลืนยาทั้งเม็ด ห้ามบดหรือเคี้ยวก่อนกลืน อาจเป็นยาชง เช่น ยาชงมะขามแขก ซึ่งต้องชงกับน้ำ ก่อนดื่ม หรืออาจเป็นยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยามิลค์ออฟแมกนีเซีย หรือยาน้ำแขวนละออง เช่น ยาระบายอิมัลชันของน้ำมันแร่และแมกนีเซียมไฮดรอกไซต์ ซึ่งยาน้ำทั้งสองรูปแบบนี้ต้องเขย่าขวดทุกครั้งก่อนรับประทานยา ส่วนใหญ่แล้วให้รับประทานยาวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน

ยาเหน็บทวาร ยาจะเป็นลักษณะแท่งใช้สอดในทวารหนักวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เช่น ยาเหน็บไบซาโคดิล ยาเหน็บกลีเซอร์รีน ซึ่งจะมีทั้งขนาดยาสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ยาเหน็บทวารนี้จะหลอมละลายเมื่อโดนความร้อน จึงต้องเก็บยาเหน็บทวารที่ยังไม่ใช้ไว้ในที่เย็น ไม่ให้โดนความร้อนหรือแสงโดยตรง หากในฉลากยาหรือเอกสารกำกับยามีข้อความระบุว่า ให้เก็บยาเหน็บในตู้เย็น ช่องธรรมดา ไม่เก็บในช่องแช่แข็ง

ยาสวนทวาร เช่น ยาสวนโซเดียมคลอไรด์ซึ่งมีทั้งขนาดยาสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ยาจะอยู่ในรูปแบบน้ำและถูกบรรจุไว้ในภาชนะพลาสติกทรงลูกบอลที่ด้านหนึ่งมีคอยื่นออกมาเป็นหลอดปลายแหลม เมื่อจะใช้ก็เปิดฝาที่ปลายคอออก แล้วสอดเข้ารูทวารหนัก บีบลูกบอลดันน้ำยาออกจนหมดแล้วดึงลูกบอลออก กลั้นไว้สักพักจะรู้สึกปวดและอยากถ่ายอุจจาระ

หากไม่มีความจำเป็นในการใช้ยาระบาย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาด้วยการรับประทานผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใยอาหารสูง เช่น มะละกอสุก พรุน แก้วมังกรกล้วยน้ำว้าสุก เป็นต้น ดื่มน้ำให้มากขึ้นและออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาระบาย ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกร ที่สำคัญการใช้ยาระบายทุกชนิดไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเพราะอาจทำให้ลำไส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ต้องใช้ยาระบายตลอดไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้เองตามปกติ

โดย oOfonOo [ 31 ม.ค. 2554 : 11:47:33 ]

Member
204 ศิษย์เก่า และ 54 บุคคลทั่วไป