"สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ มธ." ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สำนักงานธรรมศาสตร์สัมพันธ์" ตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการจัดตั้งและการแบ่งส่วนงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2559
"ความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่" (เรื่องเล่าดีๆ จาก ฟอร์เวิร์ดเมล์ @ tu-acgorgai.pantown.com)
ในปี 1997 กันยายน วันที่ 28 ที่เทียนสิน นักเรียนมัธยมปีที่ 6 "อันจินเผิง" ได้รับเหรียญทองชนะเลิศในการแข่งขันคณิตศาสตร์ โอลิมปิคครั้งที่ 38 ณ ประเทศอาร์เจนติน่า
นับเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่เมืองเทียนสิน เบื้องหลังความสำเร็จของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์วัย 19 ปีคนนี้ แฝงไว้ด้วยเรื่องราวของความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ทำให้ทุกผู้คนต้องซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่

ปี 1997 กันยายน วันที่ 5 เป็นวันที่ผมจากบ้านไปรายงานตัว ที่คณะคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ควันจากเตาหุงข้าวในยามเช้าตรู่ที่ลอยจากบ้านไร่หลังเก่าอันชำรุดทรุดโทรมของผม
คุณแม่ที่ขากระเผลกกำลังทำหมี่ให้ผม เป็นแป้งหมี่ที่คุณแม่ใช้ไข่ไก่ 5 ฟองแลกมากจากเพื่อนบ้าน
ขาแม่ที่แพลงนั้น เป็นเพราะวันก่อนท่านคิดจะหาเงินค่าเล่าเรียนให้แก่ผม
ในยามที่กำลังเข็นผักเต็มคันรถเพื่อไปขายในเมือง แล้วพลิกจนขัดยอก
ยามที่ยกชามขึ้น ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่
ผมวางตะเกียบลงแล้วคุกเข่าลงบนพื้น ลูบคลำเท้าของแม่ที่บวมเป่งใหญ่กว่าหมั่นโถวอยู่นาน
หยาดน้ำตาที่ละหยด ๆไหลกลิ้งลงสู่พื้น ???

บ้านของผมอยู่ที่ หมู่บ้านต้าอิ้วไต้ อำเภออู่ซิง เมืองเทียนสิน
ผมมีแม่ที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ชื่อของท่านเรียกว่า "หลี่ เอี้ยน เสีย"
บ้านของผมจนมาก ๆ
ตอนที่ผมเกิดมา คุณย่าก็ล้มป่วยอยู่บนเตียง
ในปีที่อายุ 4 ขวบ คุณปู่ก็ป่วยเป็นโรคหือหอบ เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว
พอ 7 ขวบ ผมก็เข้าโรงเรียน ค่าเล่าเรียนก็เป็นคุณแม่ไปหยิบยืมจากผู้อื่น
ผมมักจะเก็บเอาดินสอที่เพื่อนนักเรียนโยนทิ้งแล้วกลับมา
คุณแม่ปวดใจมากบางครั้ง แม้แต่เงินที่จะซื้อดินสอกับสมุดยังต้องหยิบยืมจากผู้อื่น
แต่ทว่า คุณแม่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ดีใจอยู่ ไม่ว่าการสอบไล่ หรือ สอบซ่อม
ผมมักจะสอบได้ที่ 1 เสมอ
ยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็มมาตลอด
ภายใต้กำลังใจจากแม่
ผมยิ่งเรียนก็ยิ่งมีความสุข ผมไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีเรื่องที่เป็นสุขมากไปกว่าการเรียนหนังสือ
ผมยังไม่ทันเข้าเรียนประถม ก็เรียนรู้พื้นฐานการคิดเลขบวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน ทศนิยมแล้ว
พอขึ้นประถมก็เรียนรู้ด้วยตนเอง ทำความเข้าใจต่อวิชาคณิตฟิสิกส์ เคมี ของชั้นมัธยมต้น

...(ต่อ)...

โดยคุณ : tu-acgorgai เมื่อ 3 พ.ย. 2551 : 13:06:56  

ความเห็นที่ 1
...(ต่อ)...

พฤษภาคม ปี 1994 เมืองเทียนสิน ได้จัดให้มีการแข่งขันวิชาฟิสิกส์ในระดับมัธยมต้น
ผมเป็นเด็กชายลูกชาวนาเพียงคนเดียวที่สอบติด 3 ลำดับต้น จากนักเรียนที่มาจาก 5 อำเภอชานเมือง
มิถุนายนของในปีนั้น ผมได้รับเลือกสรรเป็นกรณีพิเศษ จากโรงเรียนมัธยมต้นอี้จงของเทียนสิน
ผมวิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เหมือนดั่งคนเสียสติ
แต่คิดไม่ถึง เมื่อบอกข่าวดีให้กับคนทางบ้านฟัง
บนใบหน้าของพวกเขา กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
คุณย่าเสียชีวิตไปไม่ถึงครึ่งปี ชีวิตคุณปู่ก็อยู่ในช่วงอันตราย ที่บ้านติดหนี้เขาหมื่นกว่าหยวนแล้ว
ผมค่อยๆเดินกลับเข้าห้องอย่างสงบ พร้อมทั้งร้องไห้ตลอดทั้งวัน

คืนนั้นก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันที่นอกบ้าน
ที่แท้คุณแม่คิดจะเอาลาในบ้านไปขาย เพื่อให้ผมได้เรียนต่อ
แต่คุณพ่อคัดค้านไม่เห็นด้วยเด็ดขาด
คำพูดที่โต้เถียงกันของพวกท่าน ได้ยินไปถึงคุณปู่ที่ป่วยหนัก
พอคุณปู่กระวนกระวานใจหนัก ท่านก็จึงลาโลกนี้ไปตลอดกาล
ผมก็ไม่พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีก นำเอา “ ใบแจ้งผลการคัดเลือก “ พับอย่างดี
แล้วยัดเข้าไปในปลอกหมอน แล้วช่วยคุณแม่ทำงานเลี้ยงชีพไปวัน ๆ

ผ่านไป 2 วัน ผมและคุณพ่อได้รับรู้พร้อมกันว่า “ ลาหนุ่มหายไปแล้ว “
คุณพ่อต่อว่าคุณแม่ด้วยใบหน้าที่ขมึงตึงว่า
“ เธอขายลาหนุ่มไป เธอบ้าแล้วหรือ วันข้างหน้า การเพาะปลูกของครอบครัว การขายผลผลิต เธอจะใช้มือไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบกหรือ ? “
เธอขายลาหนุ่มได้เงินแค่ไม่กี่ร้อยหยวน พอให้จินเผิงได้เรียน ก็แค่ 1-2 เทอมเท่านั้น ??.”
วันนั้นคุณแม่ร้องไห้ ท่านใช้น้ำเสียงที่ดุมากตะโกนใส่พ่อว่า
"ลูกจะเรียนหนังสือผิดตรงไหน? จินเผิงสอบเข้ามัธยมอี้จงในเมืองได้ นับเป็นคนเดียวในอู่ชิงที่สอบได้
พวกเราอย่าให้คำว่ายากจน ทำให้อนาคตของลูกต้องสะดุดลง ถึงแม้จะต้องใช้ สองมือนี้ไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบก ก็จะให้เขาได้เรียนต่อไป ?????? ”
อาศัยเงิน 600 หยวนที่แม่ขายลาหนุ่มนี้
ผมนับว่าอยากคุกเข่าโขกศรีษะคำนับแม่จริง ๆ ผมรักการเรียนมาก แต่ถ้าเรียนต่อไป
คุณแม่จะต้องลำบากอีกแค่ไหนต้องทุกข์ยากอีกเท่าไหร่?

โดย tu-acgorgai [ 3 พ.ย. 2551 : 13:08:32 ]

ความเห็นที่ 2
...(ต่อ)...

ฤดูใบไม้ร่วมปีนั้น ผมกลับมาบ้านเอาเสื้อหนาว
พบว่าใบหน้าของพ่อเหลืองซีด ตัวผอมจนหนังแห้งหุ้มกระดูก นอนอยู่บนเตียง
คุณแม่บอกกับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ ไม่มีอะไร เป็นไข้หวัดใหญ่ใกล้จะหายแล้ว”

ใครรู้ได้ วันรุ่งขึ้นผมเอาขวดยาขึ้นมาดูเห็นฉลากภาษาอังกฤษ จึงรู้ว่ายาพวกนี้เป็นยาระงับเซลล์มะเร็ง
ผมลากคุณแม่ออกไปนอกห้อง ร้องไห้ไปถามแม่ไปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่
คุณแม่ก็บอกว่าตั้งแต่ผมไปเรียนมัธยมอี้จง
คุณพ่อก็เริ่มถ่ายเป็นเลือด อาการหนักขึ้นทุกวันๆ
คุณแม่ขอยืมเงินมาได้หกพันหยวน พาไปตรวจทั้งที่เทียนสิน ปักกิ่ง
สุดท้ายตรวจพบเป็นเนื้องอกในลำไส้
หมอต้องการให้พ่อผ่าตัดโดยเร็ว คุณแม่ก็เตรียมจะไปขอยืนเงินมารักษา
แต่คุณพ่อ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับ
ปากท่านกล่าวว่า ยืมญาติมิตร เพื่อนฝูงจนทั่วแล้ว มีแต่ยืมแต่ยังมิได้จ่ายคืน ใครเขาจะให้ยืมอีก !

วันนั้น เพื่อนบ้านยังบอกกับผมว่า แม่ใช้วิธีการดั้งเดิมในการเก็บเกี่ยว ซึ่งน่าเศร้ามาก
แม่ไม่มีแรงพอที่หาบข้าวสาลีไปที่ตลาดเพื่อนวดข้าว และก็ไม่มีเงินที่จะจ้างคนมาช่วยท่าน
ได้แต่รอข้าวสุกแปลงหนึ่ง จากนั้นเอาใส่กระดานลากกลับบ้าน
ตกเย็นก็ปูผ้าพลาสติกที่ลาน ใช้สองมือกำข้าวสาลีกำใหญ่เหวี่ยงฟาดกับก้อนหิน เพื่อนวดข้าว??..
ข้าวสาลี 3 ไร่จีน ( 1 ไร่จีน เท่ากับ 600 ตารางฟุต)
ล้วนอาศัยแม่ทำคนเดียว
แม่เหนื่อยจนยืนเกี่ยวไม่ไหว จึงคุกเข่าเกี่ยว หัวเข่าถูกสีจนเลือดออก เวลาเดินก็สั่นเทาไปหมด ?.

ผมไม่รอให้เพื่อนบ้านพูดจบ ก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วปานเหินบิน ร้องไห้เสียงดังพูดว่า
“ แม่ แม่ ผมไม่สามารถเรียนต่อไปอีกแล้ว ???..”
แต่ในที่สุด แม่ก็ไล่ให้ผมกลับไปเรียน
ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของผม อยู่ที่ 60 ถึง 80 หยวน
ถ้าจะเปรียบกับเพื่อนนักเรียนที่ใช้จ่าย 200-240 หยวนแล้ว นับว่าน้อยจนน่าสงสาร
มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่า เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดนี้ แต่ต้องเก็บสะสมอย่างประหยัดตั้งแต่ต้นเดือน ทีละหยวน ๆ จากการขายไข่ไก่ขายผัก
จริง ๆแล้วยามที่รวบรวมไม่ครบ ยังต้องไปขอยืมอีก 20 หรือ 30
และเท่ากับพ่อ น้องชาย แทบจะไม่เคยได้กินผักเลย ถึงจะมีผักบ้าง ก็ไม่ใช้น้ำมันหมูคลุก
เพียงตักน้ำผักดองมาคลุกกิน หรือทำอาหารกิน



โดย tu-acgorgai [ 3 พ.ย. 2551 : 13:15:06 ]

ความเห็นที่ 3
...(ต่อ)...

แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องหิวโหย ทุกเดือนท่านจะเดินสิบกว่าลี้
เพื่อซื้อหมี่สำเร็จรูป ส่งไปให้ผมทุกสิ้นเดือน
แม่มักจะแบกถุงใบใหญ่ เหนื่อยยากลำบาก มาดูผมที่เทียนสิน
ภายในถุงนอกจากเศษหมี่สำเร็จรูปแล้ว ยังมีกระดาษที่พิมพ์เสียของโรงพิมพ์ที่ห่างบ้าน 6 ลี้กว่า(นั่นเอาไว้ให้ผมใช้เป็นกระดาษทดเลข)
กับเต้าเจี้ยวเผ็ด 1 ขวดใหญ่ ผักกาดเขียว เค็มหั่นเป็นเส้น
และเครื่องมือตัดผม 1 อัน (ค่าตัดผมที่ถูกที่สุดในเทียนสินก็ต้อง 5 หยวน)
แม่ต้องการให้ผมประหยัด (จะได้ซื้อหมั่นโถวไว้กินอีกหลายใบ)

ผมเป็นนักเรียนคนเดียวของมัธยมอี้จง ของเทียนสิน
ที่แม้แต่ผักในโรงอาหารก็ยังไม่สามารถซื้อกิน
ได้แต่เพียงแค่ซื้อหมั่นโถว 2 ใบ กลับมาที่หอพักชงเศษหมี่สำเร็จรูป แล้วใส่เต้าเจี้ยวเผ็ดกับผักกาดเค็มกิน
ผมก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่สามารถใช้กระดาษต้นฉบับ(แบบฟอร์ม)มาเขียนได้
แต่ใช้กระดาษที่พิมพ์เสียจากโรงพิมพ์ มาเขียนต้นฉบับ

ผมยังเป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่เคยใช้สบู่
เวลาซักเสื้อก็ไปที่โรงอาหารเอากรดโซเดียมจากหมี่ที่เสียแล้ว มาใช้แทนสบู่
แต่ผมไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจมาก่อนผมรู้สึกว่า
คุณแม่นับเป็นวีรสตรีที่ต่อสู้กับความยากลำบาก และความโชคร้าย
ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างไม่อาจเปรียบอีกแล้ว

เมื่อเริ่มเข้ามัธยมอี้จงของเทียนสิน คอร์สแรกของภาษาอังกฤษ ทำให้ผมฟังจนงงไปหมด
ตอนที่แม่มาหาผม ผมได้บอกถึงความวิตกกังวลกลัวว่าภาษาอังกฤษจะเรียนไม่ทันเพื่อน
ใครจะรู้ได้ ใบหน้าของแม่กลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแล้วตอบว่า :
“แม่เพียงรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ทนความลำบากที่สุด
แม่ไม่ชอบฟังเจ้าพูดว่า ยากลำบาก เพราะขอเพียงทนลำบากได้ ก็ไม่ยากอีกแล้ว“
ผมจำคำของแม่คำนี้ไว้แล้ว

ผมมีอาการติดอ่างเล็กน้อย มีคนบอกกับผมว่าจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี
อันดับแรกต้องให้ลิ้นฟังคำสั่งตัวเอง
ดังนั้นผมมักจะเก็บก้อนหินก้อนหนึ่ง อมไว้ในปาก
จากนั้นก็ขยันท่องภาษาอังกฤษอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นเมื่อได้เสียดสีกับก้อนหิน
บางครั้งที่มีเลือดไหลออกมาทางมุมปาก
แต่ผมก็กัดฟันยืนหยัดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ครึ่งปีผ่านไป ก้อนหินเล็กๆถูกสี จนกลม ลิ้นของผมก็ถูกสีจนเรียบ
ผลการเรียนภาษาอังกฤษ ขยับขึ้นเป็น 3 ลำดับต้นของห้อง
ผมต้องขอบคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง
คำพูดของท่านทำให้เกิดปาฎิหาริย์ ในการก้าวข้ามอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการฝึกฝนของผม



โดย tu-acgorgai [ 3 พ.ย. 2551 : 13:21:23 ]

ความเห็นที่ 4
...(ต่อ)...

ปี1996 ผมได้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิควิชาการ ที่จัดขึ้นทั่วประเทศ ในเขตเทียนสินเป็นครั้งแรก ได้รับรางวัลที่ 1 ในวิชาฟิสิกส์ และรางวัลที่ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์
ได้เป็นตัวแทนของเทียนสินไปหังโจว เพื่อร่วมแข่งขันโอลิมปิคฟิสิกส์จากทั่วประเทศ
“ผมเอารางวัลที่ 1 ของประเทศมามอบให้แม่ จากนั้นก็ไปแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์ระดับโลก “
ผมคุมความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ เอาข่าวดีและความมุ่งหวังเขียนใส่จดหมายส่งไปบอกแม่
สุดท้ายผมได้แค่ที่ 2 ผมล้มแผ่ลงบนเตียง ไม่ดื่มไม่กินอะไร
แม้ว่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดในบรรดาผู้แข่งขันของเทียนสิน
แต่หากจะทดแทนความเหนื่อยยากลำบากของแม่แล้ว นับว่ายังไม่เพียงพอจริงๆ

กลับถึงโรงเรียน กลุ่มคุณครูช่วยผมวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความพ่ายแพ้
ฉันมักจะคิดให้คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีล้วนได้ดี
วิชาเอกที่เลือกมากไป ทำให้ความมุ่งมั่น ไม่เป็นหนึ่งเดียว
หากว่าตอนนี้ผมมุ่งเรียนคณิตศาสตร์อย่างเดียว ต้องสำเร็จแน่

มกราคม ปี1997 ในที่สุด ในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกทั่วประเทศ
ผมก็ชนะเลิศที่ 1 ด้วยคะแนนเต็ม ได้เข้าร่วมกลุ่มฝึกซ้อมระดับประเทศอย่างราบรื่น
และในการทดสอบทั้งสิบครั้งนั้น ก็ช่วงชิงจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งขัน
แต่ตามกฏกำหนดไว้ว่า ค่าใช้จ่ายในการไปร่วมการแข่งขันที่อาร์เยนติน่า ต้องจัดการเอง
จ่ายค่าสมัครเรียบร้อยแล้ว
ผมเอาหนังสือที่ต้องเตรียมและเต้าเจี้ยวเผ็ด ที่แม่ทำให้ห่อไว้อย่างดี งานที่ตัองเตรียมก็เสร็จสิ้นลง

หัวหน้าภาควิชากับอาจารย์คณิตศาสตร์ เห็นผมยังคงใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นสงเคราะห์ให้
ทั้งสีสัน และขนาดของเสื้อผ้าไม่สมกับตัว
เมื่อเปิดตู้เก็บของชี้ไปที่แขนเสื้อที่ต่อมาสองครั้ง ชายเสื้อหนาวที่ต่อยาวอีก 3 นิ้ว กับชุดชั้นในที่มีรอยปะ แล้วพูดว่า
“จินเผิง นี่เป็นเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอหรือ ฉันไม่รู้จะจัดการอย่างไร “
ผมจึงรีบตอบว่า “ ครูครับ ผมไม่กลัวขายหน้า คุณแม่บอกกับผมเสมอว่า
“ในตัวถ้ามีภูมิความรู้ ก็จะมีความสง่าเอง ถึงผมต้องใส่เสื้อพวกนี้ไปอเมริกาพบกับคลินตัน ผมก็ไม่กลัว “

27 กรกฎาคมโอลิมปิค วิชาการ เริ่มขึ้น
พวกเรานั่งทำข้อสอบตั้งแต่แปดโมงครึ่ง ถึงบ่ายสองโมง รวมเวลาในการทำข้อสอบห้าชั่วโมงครึ่ง
วันที่สอง เป็นวันประกาศผล
ก่อนอื่นเป็นการประกาศรางวัลเหรียญทองแดง
ผมไม่หวังจะได้ยินชื่อของตัวเอง
ถัดจากนั้นก็เป็นรางวัลเหรียญเงิน
สุดท้ายประกาศเหรียญทอง คนที่หนึ่ง คนสองคนคนที่สามก็คือผม

ผมดีใจจนร้องไห้ เรียกพึมพำอยู่ในใจว่า “ แม่ครับ ลูกแม่ทำได้สำเร็จแล้ว”
ข่าวการชนะเลิศได้เหรียญทองเหรียญของผมกับเพื่อนอีกคน ในการแข่งขันโอลิมปิคคณิตศาสตร์ ของการแข่งขันโอลิมปิควิชาการครั้งที่ 38 นี้
ได้ถูกแพร่กระจายเสียงและแพร่ภาพโดยสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์แห่งชาติในคืนนั้น 1 สิงหาคม
ยามที่พวกเรานำเอาเกียรติยศกลับสู่ประเทศนั้น
สมาคมวิทยาศาสตร์และสมาคมคณิตศาสตร์ แห่งประเทศจีนได้จัดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่

ในยามนี้ผมคิดจะกลับบ้าน
ผมคิดอยากพบหน้าแม่ให้เร็วที่สุด
ผมจะนำเอาเหรียญทองที่แวววับจับตานี้แขวนไว้ที่คอของท่าน??????

สี่ทุ่มกว่าของคืนวันนั้น ผมฝ่าความมืด จนกลับถึงบ้านที่ฉันคิดถึงทุกเช้าเย็น
พ่อเป็นคนมาเปิดประตู แต่ว่าผู้ที่โอบผมไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่นก็ คือแม่ที่ปราณีของผม
ใต้แสงดาวอันแจ่มจรัส แม่กอดผมอย่างแน่นหนา????
ผมล้วงเหรียญทองออกมาแล้ว แขวนไว้ที่บนคอของแม่ แล้วร้องไห้ด้วยจิตใจที่โปร่งโล่ง


โดย tu-acgorgai [ 3 พ.ย. 2551 : 13:30:32 ]

ความเห็นที่ 5
...(ต่อ)...

12 สิงหาคม
ที่นั่งในห้องประชุมโรงเรียนไม่มีว่างเลย แม่กับเหล่าข้าราชการของกรมสามัญศึกษาและ เหล่าศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ ได้ร่วมกันนั่งเป็นประธานบนเวที
ในวันนั้น ฉันได้พูดไว้ในงานช่วงหนึ่งว่า
“ผมจะใช้ชั่วชีวิตของผมสำนึกขอบพระคุณคน คนหนึ่งนั่นคือ แม่ ที่อบรมเลี้ยงผมจนเติบใหญ่
ท่านเป็นหญิงชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง แต่ท่านสอนผมให้รู้จักหลักธรรมในการเป็นคน ทั้งยังคอยกระตุ้นให้กำลังใจผมมาตลอดชีวิต”

ปีทีอยู่มัธยมปีที่ 4 ผมคิดจะซื้อหนังสือ “พจนานุกรมจีน - อังกฤษ เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ
ในกระเป๋าเสื้อของแม่ไม่มีเงินเลย แต่แม่ก็รับปากว่าจะหาให้
หลังอาหารเช้า แม่ยืมรถลากคันหนึ่งขนผักกาดขาวเต็มรถแล้วลากไปพร้อมกับผม เพื่อนำไปขายในเมืองที่ไกลถึงสี่สิบลี้
เมื่อถึงตัวอำเภอ ก็เกือบเที่ยงแล้ว
ตอนเช้าผมกับแม่ ดื่มเพียงน้ำซุปข้าวต้มใส่มันเทศกับข้าวโพดแค่ 2 ชาม
ในยามที่ท้องหิวจนร้องจ๊อก ๆ แค้นจนอยากให้มีคนมาเหมาซื้อผักไปทันที แต่แม่ยังคงอดทนต่อรองราคากับผู้ซื้อ
สุดท้ายตกลงกันในราคาชั่งละ 10 เซ็นต์ ผักกาดขาว 210 ชั่ง ควรเป็นเงิน 21 หยวน แต่ผู้ซื้อให้เพียง 20 หยวน
เมื่อมีเงิน ผมคิดจะกินข้าวก่อน
แต่แม่บอกให้ซื้อหนังสือก่อน เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญของวันนี้
พวกเราไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ถามราคาหนังสือ ต้องใช้เงิน 18.25 หยวน
ซื้อหนังสือเสร็จแล้ว ยังคงเหลืออยู่ 1.75 หยวน
แต่แม่ให้ผม 75เซ็นต์ เพื่อไปซื้อขนมเปี๊ยะ 2 ชิ้น
แม้จะกินขนมเปี๊ยะไป 2 ชิ้น
แต่รอจนพวกเราแม่ลูกเดินจนเกือบจะถึงบ้านเป็นระยะทาง 40 กว่าลี้ ผมก็หิวจนหน้ามืดตาลาย
ในยามนี้นึกขึ้นได้ว่า ผมลืมแบ่งขนมเปี๊ยะ 1 ชิ้นให้กับแม่
แม่หิวทั้งวัน ยังลากรถเป็นระยะทาง 80 ลี้เพื่อผม
ผมรู้สึกละอายจนคิดที่จะตบหน้าตนเอง
แต่แม่กลับพูดว่า
“ แม่ไม่มีความรู้เท่าไร แต่แม่นึกถึงตอนเด็กที่คุณครูเคยให้ท่องคำพูดหนึ่งของกอร์จี ว่า
ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
หากว่าเธอสามารถที่จะผ่านด่านมหาวิทยาลัยนี้ไปได้
ไฉนต้องกลัวว่าเป็นมหาวิทยาลัยเทียนสิน
แม้แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเธอก็สอบเข้าไปได้ดั่งใจหวังอยู่ “

ตอนที่แม่พูดคำ ๆ นั้น
แม่ไม่มองหน้าผม แม่มองหนทางที่ทอดยาวไกลออกไป
เหมือนดั่งว่าทางเส้นนั้นสามารถเชื่อมไปถึงเมืองเทียนสิน เชื่อมไปถึงเมืองปักกิ่งไม่มีผิด “

ผมฟังแล้วก็ไม่รู้สึกว่าท้องหิวอีกแล้ว ขาก็ไม่เมื่อยอีกแล้ว
???.. หากกล่าวว่า ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
ผมก็จะพูดว่า แม่ที่เป็นหญิงชาวนาของผม เป็นครูผู้นำพาที่ดีที่สุดของชีวิตผม

ที่ด้านล่างเวที ไม่รู้มีตากี่คู่ที่คลอด้วยน้ำตา
ผมหมุนตัวกลับมา หันไปหาคุณแม่ที่จอนผมเริ่มหงอกขาวแล้วคำนับท่านด้วยใจอันลึกล้ำครั้งหนึ่ง

???????

โดย tu-acgorgai [ 3 พ.ย. 2551 : 13:41:35 ]

ความเห็นที่ 6
เป็นคุณแม่ที่เยี่ยมยอดที่สุดในโลกค่ะ


โดย boontisa [ 3 พ.ย. 2551 : 14:25:15 ]

Member
204 ศิษย์เก่า และ 54 บุคคลทั่วไป